บมจ. เจดีฟู้ด ผู้ผลิตเครื่องปรุงรสอาหาร ซอส ไส้ขนม อาหารอบแห้ง ขนมขบเคี้ยวประเภทมะพร้าวอบกรอบ และซุปกึ่งสำเร็จรูป เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ (SET) วันแรก ราคาอยู่ที่ 3.20 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 0.6 บาทต่อหุ้น เหนือจอง 23.07% จากราคาไอพีโอ (IPO) ที่ 2.60 บาทต่อหุ้น
วันที่ 7 เมษายน 2565 บริษัท เจดีฟู้ด จำกัด (มหาชน) เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) วันแรก ด้วยมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคาไอพีโอ (IPO) 1,560 ล้านบาท โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ว่า “JDF” ราคาอยู่ที่ 3.20 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 0.6 บาทต่อหุ้น เหนือจอง 23.07% จากราคาไอพีโอ (IPO) ที่ 2.60 บาทต่อหุ้น
JDF เป็นผู้ประกอบธุรกิจผลิตเครื่องปรุงรสอาหาร (Food Seasoning) ซอส ไส้ขนม อาหารอบแห้ง แบบครบวงจรตามความต้องการของลูกค้า (Made to Order) ซึ่งเครื่องปรุงรสอาหารดังกล่าวนำไปใช้สำหรับเป็นวัตถุดิบส่วนผสมในการปรุงอาหารของลูกค้าในกลุ่มธุรกิจโรงงานอุตสาหกรรมอาหารและกลุ่มธุรกิจร้านอาหาร
อีกทั้ง บริษัทมีการรับจ้างผลิตขนมขบเคี้ยวประเภทมะพร้าวอบกรอบความต้องการของลูกค้าแบบ OEM (Original Equipment Manufacturer) ให้แก่ลูกค้าในกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมอาหารในต่างประเทศ นอกจากนี้ ยังผลิตและจำหน่ายสินค้าภายใต้ตราสินค้าของบริษัททั้งผงเขย่าปรุงรสและไส้เบเกอรี่ ตรา ‘โอเค’ ผลิตภัณฑ์เครื่องแกงปรุงรสและอาหารไทยกึ่งสำเร็จรูป ตรา ‘กินดี’ หรือ ‘Kin Dee’มะพร้าวอบกรอบ ตรา ‘Crispconut’ และตรา ‘Little Monkey’ และ ซุปกึ่งสำเร็จรูปไม่ใส่ผงชูรสทุกชนิดตรา ‘GOOD EATS’
ทั้งนี้ JDF มีทุนชำระแล้วหลังการเสนอขายไอพีโอ (IPO) 300 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.5 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 450 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุน (IPO) 150 ล้านหุ้น โดยเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรกระหว่างวันที่ 29-31 มีนาคม 2565 ในราคาหุ้นละ 2.60 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 390 ล้านบาท และมีมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 1,560 ล้านบาท
การระดมทุนและการเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ของบริษัทในครั้งนี้จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งทั้งด้านฐานะการเงิน และขีดความสามารถขยายธุรกิจ โดยเงินที่ได้จากการเสนอขาย IPO จะนำไปใช้เพื่อขยายช่องทางตลาดไปยังต่างประเทศ ลงทุนในการวิจัยและพัฒนาและระบบเทคโนโลยีสำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีการเติบโต ชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน และเป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ
JDF มีนโยบายในการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่น้อยกว่า 50% โดยพิจารณาจากงบการเงิน เฉพาะกิจการภายหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคล และเงินสำรองต่าง ๆ ทั้งนี้ การจ่ายเงินปันผลดังกล่าวอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ โดยจะขึ้นอยู่กับผลการดำเนินงาน ฐานะการเงิน สภาพคล่อง แผนการลงทุนและการขยายธุรกิจในอนาคต สภาวะตลาด ความเหมาะสม และปัจจัยอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
อ้างอิง
https://www.prachachat.net/finance