การลงทุนท่ามกลางความเสี่ยง ไม่ว่าจะจากปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศ กรณี “รัสเซีย-ยูเครน” ไปจนถึงเรื่องเงินเฟ้อที่กำลังเร่งตัวขึ้นอย่างรุนแรง ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เป็นความท้าทายของบรรดานักลงทุนทั่วโลก อย่างไรก็ดี หากสามารถทำความเข้าใจภาพการลงทุนได้อย่างชัดเจนขึ้น ย่อมเป็นสิ่งที่ดี
โดยเมื่อเร็ว ๆ นี้ “เผดิมภพ สงเคราะห์” กรรมการผู้จัดการ ประธานสายธุรกิจย่อย บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ได้บรรยายพิเศษหัวข้อ “เส้นทางลงทุนใหม่ ไร้ขีดจำกัด” ในงานสัมมนา Beyond the Future “ธุรกิจ-ชีวิต-การลงทุน” ที่จัดขึ้นโดย “เลกซัส ประเทศไทย” ร่วมกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ไว้อย่างน่าสนใจ
ลงทุนตามวัฏจักรเศรษฐกิจ
“เผดิมภพ” กล่าวว่า การลงทุนเป็นสิ่งที่ต้องคาดการณ์ไปข้างหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้น ดังนั้นจังหวะโอกาสของการลงทุนมีหมด แต่จะทำอย่างไรให้ราคาตลาด (mark to market) ไม่ขาดทุน โดยต้องทำความเข้าใจว่า แต่ละช่วงของวัฏจักรเศรษฐกิจ (economic cycle) จะมีการลงทุนที่แตกต่างกันไป อย่างในช่วงวัฏจักรเศรษฐกิจที่ 1 (wave 1) หรือช่วงที่เศรษฐกิจแย่สุดและกำลังจะแย่น้อยลง โดยเงินเฟ้อกำลังลดลง จะเหมาะกับการลงทุนในตลาดหุ้นและสินทรัพย์ดิจิทัลมากที่สุด
รองลงมาคือ ตราสารหนี้ระยะยาว และเมื่อเข้าสู่ wave 2 ช่วงที่เศรษฐกิจขยายตัวขึ้น และระดับเงินเฟ้อเริ่มหักหัวขึ้นจากจุดต่ำสุด จะเหมาะกับการลงทุนสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น โลหะอุตสาหกรรม, สินค้าเกษตร, สินค้าปศุสัตว์ และน้ำมัน รองลงมาคือ หุ้นที่เกี่ยวข้องกับสินค้าโภคภัณฑ์ และสินทรัพย์ดิจิทัล
ส่วน wave 3 ที่เป็นช่วงที่เศรษฐกิจดีสุดและสูงสุด แต่กำลังจะเริ่มโตน้อยลง เงินเฟ้อพุ่งพรวด ช่วงดังกล่าวเหมาะสมที่จะถือเงินสด เงินฝากธนาคาร ซื้อทองคำ และลงทุนสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐมากที่สุด ถึงแม้ผลตอบแทนของกำไรจะไม่มาก แต่จัดเป็นกลุ่มสินทรัพย์การลงทุนที่ปลอดภัยที่สุดในโลก
“โดยเฉพาะปัจจุบันนี้ คือ ทองคำที่ performance ขึ้นได้ดีกว่า จากการที่ทั่วโลกกังวลสงครามรัสเซียกับยูเครน”
และในช่วง wave 4 ที่เศรษฐกิจกลับมาแย่และซบเซา ระดับเงินเฟ้อเริ่มลดลง ช่วงดังกล่าวเป็นสถานการณ์ที่ควรลงทุนซื้อพันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้ภาคเอกชนมากที่สุด
เศรษฐกิจโลกพีกสุด-ใกล้ขาลง
“เผดิมภพ” กล่าวว่า สำหรับปัจจุบันเฮดจ์ฟันด์ (hedge fund) คาดการณ์ภาพเศรษฐกิจโลกอยู่ในช่วง wave 3 รอยต่อเข้า wave 4 ซึ่งคาดจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย (recession) โดยมองว่าเงินเฟ้อสหรัฐกำลังใกล้ถึงจุดสูงสุด (พีก) ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ทั้งนี้ บลูมเบิร์ก (Bloomberg) คาดการณ์อีก 6 เดือนข้างหน้าราคาสินค้าโภคภัณฑ์จะตกลง โดยราคาน้ำมันดิบเบรนต์ตอนนี้อยู่ที่ 127 เหรียญต่อบาร์เรล คาดแนวโน้มจะต่ำสุด 90 เหรียญ และสูงสุด 150 เหรียญ จะสังเกตว่ามีดาวน์ไซด์ค่อนข้างมาก
ด้านราคาก๊าซธรรมชาติในยุโรป ตอนนี้อยู่ที่ 200 ยูโรต่อเมกะวัตต์-ชั่วโมง คาดแนวโน้มต่ำสุด 70 ยูโรต่อเมกะวัตต์-ชั่วโมง และสูงสุด 120 ยูโรต่อเมกะวัตต์-ชั่วโมง ขณะที่ราคาข้าวสาลี ตอนนี้อยู่ที่ 1,270 เหรียญต่อบุชเชล คาดแนวโน้มต่ำสุด 500 เหรียญ และสูงสุด 1,000 เหรียญ โดยมีทิศทางปรับตัวลง และราคาทองแดง ตอนนี้อยู่ที่ 10,300 เหรียญต่อตัน คาดแนวโน้มราคาต่ำสุด 6,500 เหรียญ และสูงสุด 10,000 เหรียญ
“สไตล์นักลงทุนอนาคตจะเห็นการเข้าไปลงทุนในพันธบัตรชดเชยเงินเฟ้อ ตอนนี้ผลตอบแทนเริ่มปรับขึ้นจากแรงเทขาย เนื่องจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะประกาศขึ้นดอกเบี้ยในวันที่ 16 มี.ค.นี้ ขณะที่พันธบัตรสหรัฐปกติอายุ 10 ปี ผลตอบแทนเริ่มจะไม่ผ่าน 2% ต่อปี แสดงว่าในสายตานักลงทุน บอนด์เริ่มไม่อยากขาย แต่ก็ยังไม่เข้าซื้อ รอจังหวะจนกว่าเงินเฟ้อจะลดลง”
เงินทะลักเอเชีย-แนะถือทองยาว
ล่าสุด JP Morgan ได้ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจ (จีดีพี) โลกลงค่อนข้างมาก โดยหนักสุดคือ จีดีพียุโรป ในขณะที่จีดีพีของกลุ่มประเทศเกิดใหม่ (EM) ของภูมิภาคเอเชียและจีนปรับลงไม่มาก สะท้อนภาพเศรษฐกิจโลกจะลงเร็วกว่าโซนเอเชีย แต่ Goldman Sachs มองหุ้นโลกยังไม่น่ากลัว เห็นอัพไซด์อยู่ 50% โดยฝั่งซีกโลกตะวันตก (อเมริกา, ยุโรป) กำลังเกิดเศรษฐกิจชะลอตัว เงินเฟ้อเพิ่มขึ้น จึงกดดันให้เม็ดเงินลงทุนต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์) ย้ายมาซบประเทศแถบเอเชีย ซึ่งล่าสุดเงินไหลออกจาก S&P500 ในกลุ่มไฟแนนเชียล และออกจากตลาดหุ้นยุโรปมากสุด
“ถ้าสถานการณ์โลกเป็นแบบนี้ นักลงทุนในตลาดหุ้นโลก เป็นจังหวะซื้อหุ้นกลุ่มโรงพยาบาลและโรงไฟฟ้า หรือลงทุนกองทุนรวมเกี่ยวข้องกลุ่มเฮลท์แคร์, สาธารณูปโภค (Utilities) ได้ ส่วนคริปโตเคอร์เรนซียังไม่ใช่จังหวะ แนะนำแค่เทรดดิ้งระยะสั้น ด้านทองคำ Goldman Sachs คาดสิ้นปี 2565 ราคาทองคำจะขึ้นไปแตะ 2,500 เหรียญต่อออนซ์ ฉะนั้น ใครมีทองคำถือยาว ๆ ได้”
อีก 6 เดือน หุ้นไทยเด่น
สำหรับภาพเศรษฐกิจไทย “เผดิมภพ” กล่าวว่า ตอนนี้เข้าสู่ wave 2 เศรษฐกิจกำลังฟื้นตัวขึ้น แต่ระดับเงินเฟ้อเริ่มพุ่งขึ้น ล่าสุดเงินเฟ้อไทยอยู่ที่ 5.2% เมื่อเดือน ก.พ. 2565 กดดันเงินบาทแข็งค่าเล็กน้อยจากฟันด์โฟลว์ที่เข้ามา ขณะที่
ภาพตลาดหุ้นไทยในระยะ 6 เดือนข้างหน้า หุ้นที่เคยเสียประโยชน์จากราคาน้ำมันจะน่าสนใจ คือ 1.กลุ่มวัสดุก่อสร้าง 2.โรงไฟฟ้า 3.ค้าปลีก (สินค้าอุปโภคบริโภค, เครื่องดื่ม, อาหาร) และ 4.นิคมอุตสาหกรรม
“รอบนี้กลุ่มภาคการบริโภคและกลุ่มภาคการผลิตและการลงทุนในประเทศ จะกลับมาแน่นอน สะท้อนจากความมั่นใจของผู้ประกอบการค้าปลีกปรับตัวขึ้น โดยตัวเลขในเดือน ก.พ. 2565 ปรับตัวขึ้นมาเป็นเดือนแรก กลุ่มสินค้าไม่คงทนกำลังจะเริ่มปรับตัวขึ้นมา จากภาพการบริโภคในประเทศ รายได้เกษตรกรขึ้นมา 4 เดือนติดต่อกัน จากแรงหนุนราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ขณะที่ตัวเลขการขอรับสวัสดิการการว่างงาน ตอนนี้ใกล้เคียงก่อนเกิดโควิด แสดงว่ากำลังซื้อกำลังกลับมา”
ทั้งนี้ “เผดิมภพ” ประเมินว่า หุ้นไทยจากนี้ไปอีก 6 เดือนข้างหน้า จะปรับตัวขึ้นเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก
“ไม่ใช่ว่าหุ้นไทยจะขึ้นแบบระเบิดเถิดเทิง แต่จะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยหรือไม่ลดลง ในขณะที่หุ้นโลกปรับตัวลง สะท้อนภาพว่า หุ้นไทยจะ outperform ตลาดหุ้นอื่น ๆ โดยจะแกว่งตัวไซด์เวย์ถึงไซด์เวย์อัพ โอกาสขึ้นมากกว่าลง” ประธานสายธุรกิจย่อย บล.หยวนต้าฯกล่าว
อ้างอิง
https://www.prachachat.net/finance